วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิธีกำจัดเห็บหมัด


วิธีกำจัดเห็บหมัดบุกบ้าน ปัญหาโลกแตกของคนเลี้ยงสัตว์

        วิธีกำจัดเห็บหมัด ที่เกิดจากสัตว์เลี้ยง ซึ่งยั้วเยี้ยไปทั่วบ้าน ลองมาดูเคล็ดลับรับมือกับปัญหานี้กันเถอะ

        บ้านคือวิมานของเรา แต่สัตว์เลี้ยงใจดีดันเชิญเพื่อนร้ายตัวจิ๋วอย่างเห็บหมัดเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย ไม่ได้การแล้ว ! เห็นทีต้องรีบกำจัดพวกมันออกไปโดยด่วน เพราะเห็บหมัดเป็นอันตรายทั้งต่อคนและต่อสัตว์ แถมยังแพร่พันธุ์ได้เร็วมาก ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอเสนอวิธีปราบเห็บหมัดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้เพื่อน ๆ เป็นไอเดียไปใช้เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิตในบ้าน ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลย


กำจัดเห็บหมัดที่เข้ามาป่วนในบ้าน
          ข้าวของระเกะระกะเป็นที่ซ่อนตัวชั้นดีของเจ้าเห็บหมัดตัวแสบ ดังนั้นหากอยากกำจัดเห็บหมัดที่เข้ามาป่วนในบ้าน ก็ต้องเคลียร์บ้านรกให้เนี้ยบ ตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

         อย่าทิ้งเสื้อผ้ายังไม่ซักกองเรี่ยราดที่พื้น เพราะเห็บหมัดตัวแสบอาจเข้าไปซ่อนตัวอาศัยอยู่ได้

         ถ้าสงสัยว่าเห็บหมัดอาจซ่อนอยู่ในกองผ้าที่ยังไม่ซัก ให้โยนเสื้อผ้าเข้าเครื่อง แล้วซักด้วยระบบน้ำร้อนไปเลย

         ทำความสะอาดบ้านทั้งหลังตั้งแต่บนลงล่าง เช็ดตามตู้ โต๊ะ ใต้เตียง และใช้เครื่องดูดฝุ่นเป็นตัวช่วยสำคัญ ในการดูดเจ้าเห็บหมัดให้เข้าไปอยู่ในถุงเก็บฝุ่น อย่าลืมนำไปทิ้งทันทีที่ดูดฝุ่นเสร็จด้วยล่ะ 

         เมื่อกำจัดเห็บหมัดตามวิธีที่กล่าวมาแล้ว ให้โรยหรือพ่นผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดให้ทั่วบ้าน โดยเน้นบริเวณที่นอนของสัตว์เลี้ยง และอย่าลืมบริเวณใต้โต๊ะ ใต้เตียง พรม และผ้าม่านด้วย


เนรเทศเห็บหมัดที่สร้างอาณาจักรนอกบ้าน

          เห็บหมัดกวนใจที่สร้างอาณาจักรอยู่นอกบ้าน ในไม่ช้าก็จะเดินทัพกันเข้ามาในบ้านแน่นอน ดังนั้นต้องใช้วิธีกำจัดพวกมันอย่างเฉียบขาด !

         เริ่มสำรวจพื้นที่ โดยจำไว้ว่าเห็บหมัดชอบอาศัยอยู่ในที่ชื้น ดังนั้นจับตามองบริเวณเหล่านั้นให้ดี

         ตัดหญ้าที่ขึ้นสูง และเล็มต้นไม้ออกบ่อย ๆ โดยพยายามให้แดดส่องถึงทั่วพื้นที่ เพราะเห็บหมัดกลัวแสงแดดเป็นที่สุด

         หมั่นเก็บกวาดซากพืชและใบไม้ที่แห้งหรือตายแล้วไปทิ้ง เพราะหลังจากไม่มีหญ้าขึ้นสูงให้อาศัย เห็บหมัดอาจเลือกย้ายไปหลบแดดในนั้นแทน

         ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงในบริเวณที่เห็บหมัดอาจอาศัยอยู่ โดยให้ทำในตอนมีแดดจะได้ผลเร็วขึ้น


วิธีกำจัดเห็บหมัดบุกบ้าน ปัญหาโลกแตกของคนเลี้ยงสัตว์

เคล็ดลับป้องกันเห็บหมัดจอมแสบ

        หลังจากกำจัดเห็บหมัดทั้งในบ้านและนอกบ้านไปแล้ว ก็ถึงเวลาต้องมาป้องกันไม่ให้พวกมันกลับมาอีก ด้วยวิธีการดังนี้

         ปิดประตูรั้วบ้านเสมอ เพื่อไม่ให้สัตว์นอกบ้านเข้ามาแพร่เห็บหมัดได้

         พยายามอย่าให้มีบริเวณที่อับชื้น เพราะเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีของเห็บหมัดเลย

         หมั่นตรวจตราร่างกายทั้งคนและสัตว์อยู่เสมอ ว่ามีเห็บหมัดมาหลบซ่อนตัวอยู่หรือไม่ โดยเน้นบริเวณแนวผม ข้อพับ ใต้รักแร้ และหากเจอให้ใช้แหนบดึงออก แต่พยายามอย่าบีบจนตัวเห็บหมัดแตก เพราะอาจจะแพร่เชื้อโรคจากเลือดมาสู่คนและสัตว์เลี้ยงได้

         ทำผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดใช้เอง โดยต้มน้ำปริมาณ 2 ถ้วย กับมะนาวหรือส้ม 2 ชิ้น นานประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นนำใส่ขวดสเปรย์เพื่อใช้ฉีดพ่นทั้งคน สัตว์เลี้ยง และบริเวณที่คาดว่าน่าจะมีเห็บหมัด


          เมื่อกำจัดเห็บหมัดตามวิธีที่แนะนำกันแล้ว อย่าลืมพาสัตว์เลี้ยงไปหาสัตวแพทย์ใกล้บ้าน เพื่อกำจัดเห็บหมัดให้หมดไป รวมถึงหาทางป้องกันไม่ให้กลับมาใหม่ และอย่าลืมตรวจตราร่างกายทุกครั้งที่ออกไปเดินป่า เพราะคุณก็อาจพาวายร้ายตัวจิ๋วนี้กลับมาได้เช่นกัน เพียงเท่านี้บ้านก็จะปลอดภัยไร้เห็บหมัดแล้วจ้า

การดูแลเมื่อน้องหมาตั้งท้อง




การดูแลเมื่อน้องหมาตั้งท้อง
การดูแลสุนัขขณะตั้งท้องนั้น หลายท่านระวังมากเกินความจำเป็น แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นเกิดผลเสียต่อแม่และลูกสุนัขด้วยซ้ำไป
ต้องท้องนานแค่ไหนกันนะ
ปกติหลังการผสมอสุจิจะมีการฝังตัวอยู่ที่ 3-5  วัน ระยะเวลาการตั้งท้องจะประมาณ 61-65 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกในท้อง ถ้าลูกมากก็จะคลอดเร็วขึ้น ดังนั้นการจดจำวันที่สุนัขผสมจึงเป็นเรื่องจำเป็น สำหรับการนับลูกสุนัขและการทราบกำหนดวันคลอด
อาหารสำหรับสุนัขตั้งท้อง
การสังเกตุอาการสุนัขที่ตั้งท้องนั้นต้องสังเกตุอาการอย่างใกล้ชิด อาจดูจากการกินจุมากกว่าเดิม และถ้าไม่แน่ใจอาจปรึกษาแพทย์ หลังจากที่แน่ใจว่าท้องแล้ว อาหารที่ให้ต้องเพิ่มให้เหมาะสมกับช่วงการตั้งท้อง โดยเปลี่ยนมาใช้สูตรสำหรับลูกสุนัข เพราะมีคุณค่าโภชนาการทั้งโปรตีน ไขมัน สูงกว่าสูตรปกติ ควรให้แม่สุนัขกินอาหารสูตรนี้อย่างต่อเนื่องจนลูกสุนัขหย่านม และในช่วงใกล้คลอดอาจให้เสริมอาหารที่มีกากใยอาหารมากขึ้นเพื่อลดปัญหาอาการท้องผูกเนื่องจากการขยายตัวของมดลูกที่ดันส่วนลำใส้ใหญ่
อาหารเสริมและยาบำรุงจำเป็นหรือไม่
นอกเหนือจากอาหารตามปกติแล้ว ต้องเสริมวิตามินและแร่ธาติบางกลุ่มเพิ่มเติมเพราะร่างการของลูกจะดูดซึมวิตามินแร่ธาตุกลุ่มนี้จากร่างกายแม่ ถ้าไม่ให้ทดแทนจะมีผลเสียกับแม่สุนัขอย่างชัดเจนหลังคลอด คือขนหลุดร่วง สุขภาพทรุดโทรม ไม่มีน้ำนมพอ สิ่งที่ต้องให้เสริมคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เพราะเป็นแร่ธาติที่นำไปสร้างกระดูด โครงสร้างของลูกและเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำนม ถ้าสุนัขขาดแร่ธาติดังกล่าว ช่วงให้นมลูกจะมีไข้สูง หอบ ตัวสั่น จนถึงชักเกร็ง ต้องพาไปพบสัตว์แพทย์โดยด่วนเพื่อลดไข้และให้แคลเซียมทางกระแสเลือด ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะช็อกซึ่งแม่สุนัขอาจตายได้ ส่วนใหญ่เกิดกับท้องแรกและเจ้าของยังไม่มีประสพการณ์ ปริมาณการให้แคลเซียมไม่ควรให้มากเกินความจำเป็น ควรจะให้ร่างกายแม่เป็นตัวปรับระดับฮอร์โมนในการใช้แคลเซียมด้วยยาบำรุงเลือด วิตามินอื่นๆถือว่าจำเป็นด้วยเช่นกันเพียงแต่ให้ปริมาณน้อยๆ ทั้งนี้ควรปรึกษาคำแนะนำจากสัตวแพทย์จะปลอดภัยที่สุด
ควรหลีกเลี่ยงหรือระวังอะไรบ้าง
ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อ โรคติดต่อที่มาจากสุนัขเอง โดยระวังให้อยู่ห่างจากสุนัขป่วย แม้เชื้อที่มีปริมาณน้อยก็อาจแพร่เชื้อไปยังลูกที่ไม่มีความต้านทานโรคอาจทำให้ตายในท้องได้ ช่วงนี้ถ้าป่วยต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง นอกจากนั้นต้องหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีน เนื่องจากอาจส่งผลต่อลูกได้ ส่วนโปรแกรมการฉีดยากันพยาธิหนอนหัวใจต้องเปลี่ยนมาเป็นแบบกินแทน การใช้ยากำจัดเห็บหมัดก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากบางกลุ่มเป็นยาฆ่าแมลงที่ห้ามใช้กับสัตว์ตั้งท้อง ควรคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกสุนัขก่อนเป็นอันดับต้น
สุนัขตั้งท้องอาบน้ำได้ไหม
การอาบทำได้ตามปกติ แต่ควรตรวจสอบก่อนว่ามีไข้หรือเปล่า และต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะสุนัขท้องแก่ยิ่งต้องระวังมากขึ้น อาจหลีกเลี่ยงโดยใช้วิธีเช็ดตัวแทนได้ หลังจากคลอดแล้วก็จับอาบน้ำได้เลยเพื่อล้างคราบสกปรกน้ำคร่ำที่เลอะตัว
การเอกซเรย์หรืออัลทราซาวด์
ขึ้นอยู่กับแพทย์ครับว่ามีความจำเป็นไหม การเอ็กซเรย์สามารถทราบถึงขนาดลูกในท้อง จำนวน ประเมินอายุลูกในท้องแต่ไม่สามารถระบุได้ว่ามีชีวิตหรือไม่ ส่วนการอัลทราซาวด์ จะทำให้ทราบว่ามีการตั้งท้องหรือไม่ จำนวนมีเท่าไร มีชีวิตและปกติดีหรือไม่ เจ้าของเองก็อาจพิจารณาเองว่าต้องการทราบข้อมูลหรือไม่ ส่วนการดูเพศนั้นทำได้ค่อนข้างยากเพราะอวัยวะลูกสุนัขมีขนาดเล็กมากเกิดการผิดพลาดได้ง่ายซึ่งจะแตกต่างจากของคนครับ

 



ทั้งหมดเป็นการดูแลสุขภาพคร่าวๆ อย่างไรก็ตามควรพาไปพบสัตว์แพทย์ตรวจร่างกาย หากสัตว์แพทย์แนะนำอย่างไรก็ควรปฎิบัติตามเพื่อความปลอดภัยของแม่และลูสุนัข ถ้าปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างครบถ้วนรับรองได้ว่าจะได้ดูแลลูกสุนัขที่น่ารัก แข็งแรง ไว้ชื่นชมแน่ๆครับ 


โรคแท้งติดต่อในสุนัข(Canine Brucellosis )



สาเหตุของโรค :เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Brucella canis (B. canis) อาจเรียกสั้น ๆ ว่าโรค “ บรู ” 

อาการของโรค :

1. ก่อปัญหาความไม่สมบูรณ์ในพ่อและแม่พันธุ์
2. ผสมไม่ติด 
3. ถ้ามีการตั้งท้อง ก็มักจะแท้งหลังจากการตั้งท้อง ประมาณ 45 วันขึ้นไป 
4. อาจแท้งออกมาหมดทุกตัว หรือ รอดเป็นบางตัว (แต่ลูกที่คลอดออกมามักจะตายใน สัปดาห์แรกหรือ ตายก่อนหย่านม)
การแพ้วัคซีน
       ในสุนัขปกติแล้วสัตวแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนประจำทุกๆปี (ยกเว้นในลูกสุนัขที่เพิ่งเริ่มทำวัคซีนเป็นครั้งแรกต้องมีการกระตุ้นวัคซีนหลายครั้ง ) ซึ่งถือว่าเป็นการดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านประจำทุกปีเว้นในรายที่ท่านเจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่สนใจเท่านั้น การฉีดวัคซีนประจำปีเป็นการกระตุ้นภูมิต้านทานของสัตว์ ซึ่งย่อมต้องเกิดอาการอักเสบสัตว์บางตัวจึงแสดงอาการซึม หรือมีอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและข้อต่อบางแห่ง หรือมีไข้อยู่ 1-2 วัน ภายหลังการฉีดวัคซีนซึ่งถือว่าเป็นปกติ และบางตัวก็ไม่แสดงอาการให้เห็นสัตว์จะกินอาหารละเล่นได้ตามปกติแต่ในบางรายจะเกิดอาการอักเสบที่รุนแรงกว่านั้นซึ่งอาการจะเห็นได้อย่างชัดเจน
ความรู้เรื่องการให้อาหารดิบ
(แทนอาหารสุกหรืออาหารสำเร็จรูป)ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวเหลือเกินสำหรับบางท่านในการที่จะเปลี่ยนการให้อาหารสุนัขมาเป็น BARF ดังนั้นเวปไซด์แห่งนี้เลยได้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นข้อมูลเนื้อหาข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงต่างๆในทางทีดีขึ้นสำหรับสุขภาพสุนัขของพวกเราที่ได้เปลี่ยนมายึดตามหลักการให้อ าหารสดแก่สุนัข
ความเข้าใจกับตัวยา "ไอเวอร์เม็กติน" (Ivermectin) 

"ไอเวอร์แมกติน" (Ivermectin) เป็นยาอีกตัวหนึ่งซึ่งนิยมใช้กันมากในการรักษาสัตว์และผมคิดว่าเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบรรดาผู้เลี้ยงสัตว์ด้วยเช่นกันจึงแนะนำเป็นยาน่ารู้ประจำฉบับเพื่อให้เข้าใจอย่างถูกต้องครับ 

"ไอเวอร์แมกติน" มีชื่อทางการค้าที่รู้จักกันดีจนเรียกติดปากกันว่า "ไอโวแมก" (Ivomec) ชื่อนี้ผมได้ยินเป็นเกือบทุกวันจากเจ้าของสัตว์ที่พบปัญหาเห็บรบกวนสัตว์เลี้ยง โดยคิดว่าเป็นวิธีที่สะดวกและง่าย เห็นผลเร็วดีนอกจากจะได้ผลดีในการกำจัดเห็บแล้วยังสามารถกำจัดพยาธิภายในและภายนอกชนิดอื่นๆได้อีกด้วย เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้ายพยาธิปากขอ พยาธิแส้ม้า พยาธิในปอด ไรขี้เรื้อน ไรในหู หมัด เหา ฯลฯแต่การใช้ในการกำจัดพวกพยาธิต่างๆและเห็บ หมัดนั้นจริงๆแล้วในสุนัขและแมวเป็นการใช้นอกเหนือการรับรองครับกล่าวคือไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้อย่างเป็นทางการจากFDA (Food and Drug Administration) หรือองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา
การเจริญพันธุ์และการตั้งท้องของสุนัข
    สำหรับผู้รักสุนัขแล้ว การได้ลูกหมาน้อยๆ มาชื่นชม นับเป็นความยินดีอย่างหนึ่งแต่ถึงแม้ว่า คุณจะมีเหตุผล อะไรก็ตามที ที่ไม่ต้องการสุนัขเพิ่มอีกคุณก็ควรมีความรู้ เกี่ยวกับการเจริญพันธุ์สุนัข เพื่อจะได้ป้องกันไม่ให้เจ้าสุนัขของคุณท้องโย้ และคลอดลูก ออกมา จนเลี้ยงไม่ไหว 
ระบบสืบพันธุ์แบบหมาๆ
ยาถ่ายพยาธิตัวกลมไพแรนเทล (PYRANTEL)
   ปัญหาซึ่งยังคงสร้างความรำคาญใจให้แก่ผู้เลี้ยงสัตว์ ได้ไม่น้อยนอกเหนือจากเรื่องเห็บหมัดที่ปราบปรามกันแต่ไม่รู้จักหมดจักสิ้นและเรื่องพยาธิหนอนในหัวใจซึ่งมียุงเป็นพาหะนำโรคจนทำให้ต้องกินยาป้องกันกันอยู่ทุกๆเดือนแล้วพยาธิในระบบทางเดินถือเป็นปัญหาที่ก่อกวนทั้งสุนัขและทั้งแมวได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
การลดปวดให้น้องหมา

1. ใช้น้ำเย็น 2 นาทีสลับกระเป๋าน้ำร้อน 5 นาที และน้ำเย็น 2 นาที สลับกันประคบ ทำ ประมาณ 20 นาที ให้เริ่มที่น้ำเย็น จบที่น้ำเย็น เพื่อป้องกันการบวมของน้องหมา
2. ลูบนวดเบา ๆ ไม่ต้องกดจุด บริเวณที่คิดว่าน้องหมาปวด
3. ขยับข้อต่อ mobilization ที่สะโพกวิธีนี้เป็นทิคเนคทางกายภาพบำบัดที่ใช้กับคนค่ะ แต่ได้ผลกับหมาด้วยค่ะให้จับที่head of femur คือหัวกระดูกสะโพกและจับบริเวณเชิงกรานน้องหมาโดยfix ที่เชิงกรานแล้ะวขยับ head of femur เบา ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอต้องเบา ๆ ด้วยนะคะ แรง ๆ จะเจ็บ น้องหมาจะผ่อนคลายและยอมให้เราทำให้เองค่ะ

การคลอด และลูกสุนัขแรกคลอด



               ปัจจุบันมีจำนวนสุนัขป่วยจำนวนมากที่เจ้าของพามาตรวจว่าท้องหรือไม่เพราะ เห็นตัวผู้ขึ้นผสม  ส่วนเจ้าของที่ทราบว่าสุนัขท้องอยู่แล้วก็จะพามาตรวจว่ามีจำนวนลูกสุนัขกี่ตัว ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือไม่ทราบวันผสมก็อยากจะรู้ว่าอายุลูกสุนัข จะคลอดเมื่อไร  ถ้าเป็นมือใหม่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขตั้งท้องเลยก็จะมีคำถามว่าจะต้องดูแลอย่างไร  จะรู้ได้อย่างไรว่าสุนัขกำลังจะคลอด บทความที่เรียบเรียงขึ้นมานี้น่าจะช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้
                ระยะเวลาในการตั้งท้องของสุนัข คือ 63 + / - 1 วันนับจากวันที่ไข่ตก ถ้านับจากวันผสมวันแรกสุนัขจะมีระยะการตั้งท้องอยู่ในช่วง 57 - 72 วัน โดยมี progesterone (ปริมาณอย่างน้อยที่สุด 2 ng/ml) เป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมการตั้งท้อง ซึ่งผลิตจาก corpus luteum ที่รังไข่เท่านั้น  สภาวะที่ทำให้สับสนกับการตั้งท้องได้ คือ การเกิดท้องเทียม (Pseudopregnancy) เต้านมอักเสบ (mastitis) เนื้องอกที่เต้านม การขยายใหญ่ของช่องท้องจากการสะสมของเหลว หรือมีอวัยวะภายในขยายใหญ่หรือเกิดสภาพมดลูกเป็นหนอง (Pyometra)
            การสังเกตอาการว่าสุนัขตั้งท้องหรือไม่ มีอาการดังนี้ พฤติกรรมการทำรังคลอดโดยพยายามตะกุยฉีกกระดาษหรือสิ่งรองนอนต่าง ๆ  พฤติกรรมของการเป็นแม่พยายามเอาสิ่งของต่าง ๆ เข้ามารวมไว้ใกล้ตัว น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยปกติจะเกิดขึ้นหลังจากตั้งท้องได้ 4 สัปดาห์ การขยายใหญ่หรือบวมขึ้นของช่องท้อง  เต้านมขยายใหญ่และมีน้ำนม  แต่ถ้าสุนัขมีอาการผิดปกติหรือมีอาการเซื่องซึม หรือสังเกตเห็นมีของเหลวหรือหนองออกจากช่องคลอด ควรนำมาพบสัตวแพทย์ทันทีเพราะอาจจะเป็นสภาวะมดลูกอักเสบเป็นหนอง ซึ่งมักจะพบได้ในช่วงเวลาเดียวกันหลังการเป็นสัด
                การตรวจการตั้งท้อง สัตวแพทย์ดูบันทึกการรักษาและตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจดูวงรอบการเป็นสัดและความสามารถในการผสมครั้งก่อน หลังจากนั้นคลำช่องท้องต้องใช้ความชำนาญอาจคลำได้เร็วที่สุดประมาณ 17 - 22 วันของการตั้งท้องนับจากวันตกไข่ แต่โดยทั่วไปมักคลำได้ง่ายในช่วง 28 - 30 วันภายหลังการตกไข่
การเอ็กซเรย์ช่องท้องเพื่อตรวจดูโครงสร้างกระดูกของลูก สามารถเห็นได้หลังจาก 45 วันขึ้นไปมีประโยชน์ในการนับจำนวนตัวลูกและประเมินสภาวะการคลอดยากโดยเทียบขนาดหัวกับขนาดช่องเชิงกราน
การทำอัลตราซาวด์อาจใช้การตรวจท้องได้เร็วที่สุดประมาณ 20 วัน ถ้าต้องการความแม่นยำก็ประมาณ 28 วันขึ้นไป เป็นวิธีการตรวจการมีชีวิตของลูกได้เพราะเห็นการเต้นของหัวใจ
ปัจจุบันมีชุดตรวจสอบการตั้งท้องสำเร็จรูปโดยตรวจระดับฮอร์โมน relaxin จากซีรัม สามารถตรวจสอบเมื่อตัวอ่อนฝังตัวในผนังมดลูก สามารถตรวจสอบการตั้งท้องที่เร็วที่สุดได้ตั้งแต่ 20 วันขึ้นไป มีความแม่นยำ 55% แต่ถ้าตรวจท้องที่ 27 - 28 วันความแม่นยำอยู่ที่ 95% มีประโยชน์ในกรณีไม่มีเครื่องอัลตร้าซาวด์หรือคลำยากในกรณีสุนัขมีลูกจำนวนน้อยหรืออ้วนมาก
การดูแลและจัดการสุนัขตั้งท้อง
                สุนัขควรได้รับการฉีดวัคซีนและถ่ายพยาธิให้พร้อมในช่วงก่อนที่จะคาดว่าสุนัขจะเป็นสัด เนื่องจากสุนัขตั้งท้องไม่ควรได้รับการฉีดวัควีนโดยเฉพาะวัคซีนเชื้อเป็นหรือไม่ควรได้รับยาใด ๆ โดยจำเป็น
การให้อาหารสุนัขตั้งท้องควรให้ในปริมาณที่เหมาะสมร่วมกับการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงของภาวะการคลอดยาก  ลูกสุนัขในท้องจะเพิ่มขนาดอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ? 4 สัปดาห์ก่อนคลอด แม่สุนัขจะมีน้ำหนักเพิ่มประมาณ 25 - 55 %  การให้อาหารจึงควรค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหาร โดยเลือกอาหารที่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และเกลือแร่ที่เพิ่มขึ้น ให้ปริมาณมากขึ้นในแต่ละมื้อหรือเพื่มจำนวนมื้อให้กินบ่อยขึ้น  แม่สุนัขส่วนใหญ่เมื่อเข้าสู่ระยะใกล้คลอดจะแสดงอาการเบื่ออาหาร  การเสริมแคลเซียมแทบจะไม่จำเป็นเลยถ้าสุนัขได้รับอาหารสำเร็จรูปที่ดีและมีความสมดุลของสารอาหารอยู่แล้ว เนื่องจากการให้แคลเซียมเสริมมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะไข้น้ำนมและการคลอดยากตามมาได้
การคาดคะเนวันคลอดของลูก
การคาดคะเนวันคลอดที่แม่นยำที่สุด คือนับจากวันที่ไข่ตก เฉลี่ยประมาณวันที่ 12 ของการเป็นสัด (นับจากวันแรกที่สุนัขมีเลือดออกจากอวัยวะเพศ) โดยสุนัขตั้งท้อง 63 +/- วันนับจากวันที่ไข่ตก
การวัดอุณหภูมิทางทวารหนักมีประโยชน์อย่างมากเนื่องจากการลดลงของอุณหภูมิสัมพันธ์กับการลดลงของระดับปริมาณของฮอร์โมน progesterone อุณหภูมิในช่วงใกล้คลอดประมาณ 12 - 24  ชมก่อนคลอด ประมาณ 98.8 องศาเซลเซียส (อยู่ในช่วงระหว่าง 98.1 - 100 องศาเซลเซียส) แนะนำให้วัดอุณหภูมิทุก 3 ชม.และจดบันทึกให้เริ่มทำในช่วงก่อนคลอดประมาณ 3 วันล่วงหน้า
การสังเกตการคลอดของสุนัข
ระยะที่ 1 แม่สุนัขมีอาการเบื่ออาหาร กระวนกระวาย หอบมักเกิดขึ้นในช่วง 2 - 3 วันก่อนคลอด  เต้านมขยายใหญ่มีน้ำนมไหลอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ 1 - 2 สัปดาห์จนถึงไม่กี่ชม.ก่อนคลอด มีพฤติกรรมหาที่คลอด  ในระยะที่ 1 อาจจะกินเวลายาวนานถึง 6 - 12 ชม. เป็นระยะที่มีการคลายตัวของช่องเชิงกรานและเริ่มมีการบีบตัวของมดลูกร่วมกับการเปิดปากของปากมดลูก
ระยะที่ 2  ปากมดลูกขยายเต็มที่ ลูกสุนัขจะริ่มขยับตัวมาตามปากมดลูกและช่องคลอด การบีบตัวของมดลูกจะเกิดกับตัวลูกสุนัขเฉพาะตัวที่อยู่ใกล้ปากมดลูกมากที่สุด เมื่อลูกสุนัขคลอดออกมาจะมีรกชั้นในห่อหุ้มตัว ส่วนชั้นนอกมักจะฉีกขาดเมื่อลูกสุนัขมาถึงปากมดลูกแม่สุนัขช่วยกัดหรือผู้เลี้ยงอาจช่วยฉีกรกชั้นในให้ แต่ลูกสุนัขบางตัวอาจจะออกมาพร้อมรกทั้งสองชั้นหรือไม่มีเลยก็ได้  แม่สุนัขจะเลียลูกสุนัขเพื่อกระตุ้นการหายใจ ทำความสะอาดและกัดสายสะดือให้ลูก  ในกรณีที่แม่ช่วยลุกไม่เป็น ผู้เลี้ยงต้องช่วยโดยผูกสายสะดือและตัดให้เหลือประมาณ 1 นิ้ว แต้มปลายสายสะดือด้วยทิงเจอร์ไอโอดีนและใช้ลูกยางดูดเสมหะและของเหลวออกจากจมูกและปากร่วมกับการใช้ผ้าสะอาแช็ดและถุตัวเบา ๆ ให้ลูกสุนัข ลุกสุนัขแต่ละตัวควรคลอดออมาห่างกันประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชม.บางครั้งอาจยาวนานถึง 4  ชม. การคลอดจะสมบูรณ์ในเวลาประมาณ 6 ชม.แต่แม่สุนัขบางตัวอาจคลอดลูกยาวนานถึง 24 ชม.ได้
ระยะที่ 3 เป็นช่วงขับรก  รกของลูกสุนัขแต่ละตัวมักจะออกมาพร้อมกับลูกในระยะที่ 2 อยู่แล้ว หรือออกตามหลังการคลอดของแต่ละตัวในเวลาประมาณ 5 - 15 นาที โดยทั่วไปการเกิดภาวะรกค้างในสุนัขเกิดขขึ้นได้น้อยมาก
แม่สุนัขหลังคลอดจะมีน้ำคร่ำในช่วง 3 สัปดาห์แรกภายหลังการคลอด
การดูแลและจัดการลูกสุนัขแรกคลอด
ลูกสุนัขมักจะกินนมทุก 2 - 3 ชม. ถ้าลูกสุนัขกินนมอิ่มจะนอนสุมกัน ท้องขยายใหญ่ แต่ถ้าหิวนมจะร้อง ไม่ยอมนอน ในลูกสุนัขที่ไม่ได้กินนนมแม่หรือแม่สุนัขมีนมไม่พอ ต้องให้นมผงสำหรับลูกสุนัขเสริม โดยอาจใช้ syringe หยดใส่ปากหรือใช้ขวดนมสำหรับลูกสุนัข พยายามอย่าให้สำลักเข้าหลอดลม  ลูกสุนัขต้องการพลังงงานประมาณ 22 - 26 กิโลแคลอรีต่อน้ำหนักตัว 100 กรัม เมื่ออายุ 2 - 3 สัปดาห์น้ำหนักควรเพิ่ม 10 - 15% ต่อวัน
ลูกสุนัขที่เกิดใหม่มักมีอุณหภูมิร่างกายค่อนข้างต่ำ แนะนำให้กกไฟ 60 วัตต์ ห่างจากลูกสุนัข 1 ฟุต อย่าให้ร้อนเกินไปเพราะจะเกิดภาวะแห้งน้ำ  ลูกสุนัขแรกคลอดมักเกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้ง่าย ดังนั้นควรแน่ใจว่าแม่สุนัขมีปริมาณน้ำนมเพียงพอ  ระบบภูมิคุ้มกันของลูกสุนัขแรกคลอดยังไม่สมบูรณ์ส่วนมากจะได้มาจากนมน้ำเหลืองจากแม่สุนัข 3 วันแรกหลังคลอด
จากบทความจะทราบว่าวิธีที่ดีที่สุดที่เจ้าของจะทราบว่าสุนัขของตนตั้งท้องก็คือ การไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจยืนยันว่าสุนัขตั้งท้องจริง ๆ  และอาจนำวิธีจัดการดูแลที่แนะนำไปใช้ต่อไป

รู้ได้อย่างไรว่าสุนัขเราตั้งท้อง!!



    สุนัขทั้งเพศผู้และเพศเมียอายุเหมาะสมที่จะเป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์นั้นควรมีอายุตั้งแต่ 11-13 เดือนขึ้นไป ดังนั้นการที่สุนัขเพศเมียเป็นสัดครั้งแรกจึงไม่แนะนำให้รีบทำการผสมพันธุ์
 
มีสุนัขหายพันธุ์ที่สามารถผสมพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ และมาหาเราเพื่อให้ช่วยทำการผสมเทียม เช่น เชา เชา เกรย์ฮาวน์ บูลด๊อก เป็นต้น เนื่องจากตัวเมียมักไม่ยอมให้ขึ้นผสมพันธุ์  ผู้เลี้ยงสุนัขก็ไม่ต้องหนักใจ เรื่องเท่านี้สัตวแพทย์ของเราสามาถช่วยท่านได้
 
ส่วนเรื่องการดูแลและสังเกตุอย่างไรว่าสุนัขของเรานั้นผสมติด เป็นอะไรที่น่าลุ้นและอดใจรอเป็นอย่างยิ่ง แล้วทราบหรือยังว่าสุนัขหากตั้งท้อง จะท้องกี่วันจึงกำหนดคลอด  และต้องบำรุงอะไรหรือไม่
 
สุนัขจะเริ่มตั้งท้องก็ต่อเมื่อเกิดการผสมของอสุจิ กับไข่เกิดขึ้น ระยะเวลาของการตกไข่และเหมาะสมในการผสมพันธุ์คือ ระยะที่มีการตกไข่ที่เรียกว่าเป็นสัด Estrus ระยะนี้เมื่อสังเกตุจะเห็นสุนัขตัวเมียยืนนิ่งและยอมให้ตัวผู้ขึ้นขี่ และเป็นระยะที่มีโอกาสไข่ตกได้มากที่สุด ดังนั้นโอกาสที่จะผสมติดมีสูงขึ้น
 
การจะทราบว่าเป็นระยะเป็นสัดนั้น สามารถสัเกตุได้เบื้องต้นโดยการนับวันที่เห็นมีเลือดจางๆออกมาทางอวัยวะเพศ ในวันที่ 9-11 เราจะเริ่มให้สุนัขได้ผสมพันธุ์ในช่วงเวลานี้ แต่โชคไม่ดีนักที่สุนัขบางตัวอาจทำให้การนับวันผิดพลาด เนื่องจากการผิดพลาดในการนับวันตั้งแต่วันแรกที่เห็นเลือด ทำให้กว่าจะเป็นวันที่ 9 ที่เจ้าของเห็นกลายเป็นวันที่ 14-15 ไปแล้ว ทำให้ล่าช้าไม่ทันการ ไข่ได้ตกไปหมดแล้ว โอกาสผสมติดย่อมน้อยลงมา
 
ในทางสัตวแพทย์ เรามีวิธีการทางวิชาการที่จะช่วยท่าน 2 ทาง คือ

ทางที่ 1 ที่ง่ายและพื้นฐานที่สุดคือ การตรวจเซล estrous โดยการย้อมเซลและตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ที่เรียกว่าการทำ vaginal smear สามารถทราบผลได้ทันที และสามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว
 
ทางที่ 2 คือ การตรวจฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน  หากค่าของฮอร์โมนในระดับสูงจะพยากรณ์ได้ว่าเป็นระยะที่มีไข่ตกแล้ว เป็นต้น การทราบผลต้องรอการตรวจจากห้องปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง
 
จะอุ่นใจได้ว่า ท่านยังมีตัวช่วยทางวิทยาการทางสัตวแพทย์ที่จะช่วยทำให้สุนัขของท่านผสมติดและตั้งท้องได้ ส่วนวิธีใดทำให้ทราบว่าตั้งท้องแล้วขี้นกับการสังเกตุของเจ้าของเป็นสำคัญ  เช่น ท้องเริ่มกาง ขยายขึ้น ทานจุมากขึ้น แต่อาจมีบางตัวทานน้อยลงในช่วงแรก เพรามีอาการแพ้ท้องก็มี โดยเฉพาะในช่วงอาทิตย์ที่ 3 ของการตั้งท้อง ที่มักพบอาการเบื่ออาหาร และมีการอาเจียนเช่นกัน
 
ระยะเวลาการตั้งท้อง
โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 59-63 วัน โดยมีความผันแปรไปตามระยะเวลาการตกไข่ จำนวนการถูกผสม และระยะเวลาที่ถูกผสมพันธุ์ ดังนั้นเวลาที่ไข่ถูกผสมหรือเกิดปฏิสนธิจนถึงเวลาที่คลอดออกมาไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนเช่นเดียวในคน
 
อาการที่พบในช่วงตั้งท้อง 2 เดือน
 
พบว่า อวัยวะเพศภายนอกจะยังคงขยายใหญ่ไม่กลับไปหดเล็กเหมือนก่อนเกิดการเป็นสัด แต่ระหว่างที่มีการขยายใหญ่นั้นไม่ควรจะพบว่ามีน้ำอะไรไหลออกมาจนกว่าจะใกล้คลอดจริงๆ ถึงจะมีน้ำใสๆออกมาบ้าง นอกจากนี้เต้านมจะค่อยๆขยายใหญ่ เมื่อใกล้คลอดในสัปดาห์สุดท้าย และเมื่อบีบหัวนม จะมีน้ำนมไหลออกมาแต่มีบางตัวที่ไม่มีน้ำนมก็มี
 
เมื่อใกล้คลอด มดลุกเริ่มมีการบีบตัวเป็นระยะแรกของการคลอด สุนัขจะเริ่มหาที่คลอด และปลีกตัว ซึมลง นอนมากขึ้นและเริ่มมีอาการกระวนกระวาย เริ่มสร้างรังเพื่อคลอดด้วยการคุ้ยเขี่ยในที่ต่างๆ ถึงตอนนี้เจ้าของอาจเริ่มต้องตัดสินใจเผิ่อว่าจะให้คลอดตามธรรมชาติหรือให้ผ่าคลอดหากเกิดการคลอดลำบากเกิดขึ้น  ดังนั้นจึงแนะนำว่าไม่ควรให้อาหารทานมากนักในช่วงนี้ เพราะอาจจะเป็นอุปสรรคในการวางยาสลบหากมีการผ่าคลอด
 
 
และที่สำคัญที่ใช้เป็นแนวทางในการวินิจฉัยการใกล้คลอด คือ การวดอุณหภูมิ พบว่าภายใน 24 ชั่วโมงที่จะคลอดอุณหภูมิเมื่อวัดทางทวารหนักจะตกเหลือ 36.6 °c ซึ่งปกติ 37.5-39.3° c 
 
การตรวจและวินิจฉัยการตั้งท้องโดยสัตวแพทย์
สัตวแพทย์จะถามว่าระยะเวลาการถูกผสม  หากเกิน 45 วันขึ้นไป สามารถจะทำการ x-ray เพื่อนับจำนวนลูกที่อยู่ในท้อง แต่ในบางพันธุ์การเอกเรย์อาจแม่นยำเมื่อมีระยะเวลาตั้งแต่ 50 วันขึ้นไป 
 
การเอกเรย์สามารถบอกจำนวนสุนัขในท้องได้ว่ามีกี่ตัว โดยนับจำนวนจากโครงสร้างของกระดูกซี่โครงที่เห็นในฟิลม์เอกเรย์ และท่าทาง Position ของลูกในฟิลม์เอกเรย์ จะสามารถพยากรณ์การคลอดได้ว่ามีโอกาสคลอดยากหรือไม่
 
การวินิจฉัยที่มีความแม่นยำและสามารถบอกได้ว่าลูกสุนัขยังมีชีวิตอยู่หรือไม่นั้น โดยการตรวจด้วยเครื่อง ultrasound เช่นเดียวกับคน ซึ่งข้อดีของการ ultrasound คือ การเห็นการเต้นของหัวใจของลูก และสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่ตั้งท้องช่วง 25-30 วันขึ้นไป เนื่องจากเราจะพบการเต้นของหัวใจของตัวลูก แต่จะยังไม่เห็นกระดูก ส่วนการนับจำนวนตัวลูกนั้นอาจบอกได้แน่นอนค่อนข้างยากกว่าการเอกเรย์ 
 
แล้วถ้าสุนัขท้อง จำเป็นต้องเพิ่มยาบำรุงอะไรให้ไหม??
คำตอบคือ ในช่วงการตั้งท้อง 1 เดือนแรกไม่จำเป็นมากนักในการเพิ่มวิตามินเข้าไป หากอาหารที่เจ้าของสุนัขให้ทานนั้นเป็นอาหารที่ดีและมีสารอาหารที่เพียงพอแล้ว การเสริมวิตามินโดยเฉพาะ วิตามิน A และ D  อาจทำให้เกิดการพัฒนาการของลูกที่ผิดปกติ
 
แนะนำว่าควรค่อยๆเปลี่ยนอาหารที่ทานเป็นอาหารระดับพรีเมี่ยมเกรด เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนะที่ครบถ้วน แต่การเพิ่มปริมาณนั้นเราจะทำการเพิ่มปริมาณเมื่อเข้าสัปดาห์ที่ 5 โดยเพิ่ม 25% และค่อยๆเพิ่มสัปดาห์ละ 25% ในสัปดาห์ที่ 7 ควรแบ่งการให้เป็นวันละ 2 มื้อ และเมื่อในระยะสุดท้ายของการตั้งท้องในสัปดาห์ที่ 8 แนะนำว่าไม่ควรเสริมอาหารมากมาย เพราะอาจทำให้ลูกตัวใหญ่เกินไปและจะมีปัญหาการคลอดยากตามมา

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การฝึกสุนัขเบื้องต้น



การฝึกให้ชินกับโซ่และสายจูง, การฝึกสุนัขให้เดินชิด, การฝึกสุนัขให้นั่ง, 
การฝึกสุนัขให้หมอบ
 
การฝึกสุนัขให้ชินกับโซ่และสายจูง
โซ่คอที่แนะนำคือสายโซ่คอสแตนเลสไม่ควรใช้โซ่คอหนังเพราะไม่สามารถยืดหยุ่นได้ สายจูงควรเป็นสายหนังเพราะจะไม่เจ็บมือเวลาโดนสุนัขดึง

การใช้สายโซ่จะต้องใส่ให้ถูก โดยวงกลมจะต้องอยู่ด้านบนเมื่อดึงจะคลายออกได้เอง 
แต่ถ้าใส่วงกลมอยู่ด้านล่างจะไม่สามารถคลายออกทำให้สุนัขอึดอัดหรือเกิดอันตรายได้
ในครั้งแรกที่สวมปลอกคอหรือใส่สายจูงให้แก่สุนัขเรามักจะได้เห็นปฏิกิริยาที่ขัดขืนและ
ดิ้นรนต่อสู้อยู่สักพักหนึ่งแต่นี้คือธรรมชาติของสุนัขดังนั้น ผู้ฝึกต้องมีความอดทนและ
เมื่อสุนัขของเราเริ่มคุ้นเคยกับสายจูงแล้วจึงค่อยเริ่มบทเรียนได้โดยให้ผู้ฝึกถือสายจูง
ด้วยมือขวาส่วนมือซ้ายจับประคองไว้โดยให้สุนัขอยู่ด้านซ้ายมือจะเห็นว่าสายจูงจะ
พาดผ่านหน้าขาผู้ฝึกและสามารถที่จะใช้มือซ้ายกระตุกที่สายจูงได้เมื่อต้องการให้
สุนัขเข้ามาใกล้ผู้ฝึก แต่จงอย่าดึงสายจูง ควรกระตุกเบาๆ สำหรับสุนัขบางตัวที่อาจ
ต่อต้านสายจูงโดยบ้างก็อยู่กับที่บ้างก็ขัดขืนให้ผ่อยสายจูงและพูดปลอบ
ใจจนสุนัขนั่งลงแล้วจึงค่อยๆจูงเดินระยะ 2-3ก้าวและการกระตุกสายฝึกสั้นๆ 
ก็อาจจะช่วยให้สุนัข เรียนรู้ในการที่จะเดินไป กับผู้ฝึกได้ ควรกล่าวชมเชยสุนัขเมื่อ
ไม่ขัดขืนหลังจากนั้น ให้เพิ่มระยะทาง การจูงไปเรื่อย ๆ การฝึกเข้าสายจูงรวมทั้งการจูง
เดินอาจกินเวลา 3-4วันเมื่อสุนัขชินกับสาย จูงแล้ว ก็สามารถ ทำการฝึกเบื้องต้น
ในเรื่องอื่นได้ต่อไป

 

การฝึกสุนัขให้เดินชิด
ให้นำสุนัขเข้ามาอยู่ทางซ้ายของผู้ฝึก รวบสายจูงไว้ในมือขวา สายฝึกควรจะต้อง
หย่อนเสมอ สุนัขควรอยู่ในท่ายืน ถ้าหากสุนัขยังนั่งอยู่ผู้ฝึกจะต้องคอยกระตุกสายจูงเบาๆ และดึงให้ตึงสุนัขจะยืนขึ้นเองตบที่ขาข้างซ้ายของตัวเองแล้วพูดคำว่า"ชิด"
เพื่อสอนให้สุนัขรู้จักคำว่าชิดในระยะแรกสุนัขอาจจะไม่เข้ามายืนเคียงข้างซ้ายของ
ผู้ฝึกก็อย่าเพิ่งไปดุผู้ฝึกอาจต้องพลิกแพลงวิธีการบ้างโดยการปรับตัวเองให้ยืนใน
ตำแหน่งที่ให้สุนัขอยู่เคียงข้างด้านซ้ายของผู้ฝึก จนกว่าสุนัขจะเข้าใจ
คำสั่งนี้ เมื่อสุนัขเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ให้ผู้ฝึกเริ่มก้าวเดินด้วยเท้าซ้ายก่อน
อาจต้องดึงสายฝึกเล็ก น้อยเพื่อให้สุนัขเริ่มทำตาม พยายามเดินช้า ๆ อย่า
กระชากลากถูในขณะเดินควร ให้บ่าของสุนัขอยู่ในเนวเดียวกับขาซ้ายของผู้ฝึก 
ถ้าสุนับไม่ทำตามหรือเดินล้าหลังให้กระตุกสายฝึกเบา ๆ จนกว่า
จะเดินทันกัน และอย่าลืมชมว่า "ดีมาก" เสมอ แต่หากสุนัขเดินนำหน้าอย่า
เร่งฝีเท้าหรือวิ่งตามเพราะจะยิ่งเตลิดออกไป แต่ควรดึงสายฝึกให้ช้าลงและพยายาม
เดินคู่กับสุนัข ถ้าขณะใดที่สุนัขเผลอตัวไม่สนใน อาจกระตุกสายจูง คอยเตือนให้สุนัข
สนใจในการฝึกช่วงต้น ๆ ควรให้สุนัขเดินในทางตรง จนกว่าจะเดินตามสายจูงได้ดี
ขึ้นจนน่าพอใจแล้ว จึงเริ่มต้นฝึกเดินเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา กลับหลังหัน เดินวนเป็นรูปเลข 8 แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นจังหวะการเดินให้ช้าบ้าง เร็วบ้าง จนถึง
วิ่งเหยาะ สลับกันไป การฝึกในระยะแรกควรใช้เวลาประมารณ 5 นาทีต่อไปก็ขยายเวลาออกไปถึง10-15 นาที หรือครึ่งชั่วโมง ประมาณ 6-7สัปดาห์
สุนัขก็จะทำ ได้ดีซึ่งต่อไปสุนัขก็จะสามารถ เดินอยู่ในตำแหน่งชิดได้โดยไม่ต้องใช้สายจูง

 
การฝึกสุนัขให้นั่ง
หลังจากที่ได้ทำการฝึกสุนัขให้เดินได้แล้ว ต่อมาอีก 2-3 วันให้ทำการฝึกให้นั่ง
การฝึกนั่งนี้ใช้ร่วมกับการฝึกเดิน เพราะท่านั่งของสุนัขจะต้องปฏิบัติต่อนื่องกับการเดิน
คือการฝึกนั่งนี้จะสอนให้สุนัขรู้จักนั่งทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อหยุดเดิน วิธีฝึกให้เริ่มต้น
จากการพาสุนัขเดินอยู่ในตำแหน่งชิด มือขวาถือสายจูงและสุนัขเดินตามข้างผู้ฝึก
อย่างเป็นระเบียบทางด้านซ้าย จากนั้นจึงสั่งให้สุนัขหยุดและออกคำสั่ง "นั่ง"
พร้อมกันนี้ให้ใช้มือขวาดึงสายฝึกเล็กน้อย ใช้มือซ้ายกดลงที่สะโพกสุนัขเล็กน้อย
การกดสะโพกของสุนัขให้ผู้ฝึกย่อตัวลงโดยที่เข่าจะต้องแนบไปกับลำตัวของสุนัข
เมื่อสุนัขนั่งลงเรียบร้อยแล้วให้ผ่อนมือขวาที่ดึงสายจูงพร้อมกับชมเชยสุนัข
และใช้มือตบที่ไหล่สุนัขเบา ๆ ถ้าสุนัขขัดขืนหรือทำท่าว่าจะลุกจากตำแหน่งให้สั่งว่า
"ไม่" แล้วสั่ง "นั่ง" ซ้ำอีก ข้อสังเกตุในการฝึกให้สุนัขนั่งคือผู้ฝึกจะต้องไม่สั่งให้สุนัข
นั่งในจุดเดิม ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของสุนัข
 
การฝึกสุนัขให้หมอบ
การฝึกให้สุนัขหมอบนี้จะทำต่อเนื่องกันไปจากการฝึกนั่ง แต่อย่างไรก็ตามสุนัขจะหมอบเมื่อ
เหนื่อยหรือต้องการพัก สุนัขจะไม่ชอบให้ใครสั่งว่า "หมอบ" ถ้าไม่ได้รับการฝึกมาก่อนเพราะ
การหมอบ ของสุนัขเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการยอมรับความพ่ายแพ้ภายในฝูงซึ่งผลการ
ยอมแพ้นี้จะทำให้ไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นสุนัขที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง จะเรียนรู้คำสั่งหมอบนี้
ยากมาก ดังนั้นผู้ฝึกต้องระมัดระวังสุนัขโกรธเมื่อมีการใช้กำลังบังคับ โดยเฉพาะในขณะที่ผู้ฝึก
ก้มตัวลงทำท่าทางหรือบังคับสุนัขควรใช้มือซ้ายช่วย ในการป้องกันสุนัขกัดที่หน้าหรือที่ขา และการฝึกให้สุนัขหมอบควรจะเป็นการฝึกหลังจากที่สุนัขและผู้ฝึกมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน
พอสมควร คำสั่ง "หมอบ" ใช้ร่วมไปกับสัญญาณโบกมือไปข้างล่างสุนัขจะต้องตอบรับ
กับเสียงที่สั่งและสัญญาณมือ แล้วจะต้องหมอบโดยฉับพลันไม่ว่าจะอยู่ในท่านั่ง ยืน
หรือเดิน วิธีการฝึกสุนัขจากท่านั่งชิดเป็นวิธีที่ดีที่สุด ครั้งแรกจะใช้ท่าทางและคำสั่ง
ไปพร้อมกัน ให้ผู้ฝึกใช้คำสั่ง"หมอบ" พร้อมกับกดสายฝึกด้วยมือซ้ายให้สุนัขหมอบลง
มือขวาทำสัญญาณหมอบ ถ้าสุนัขขัดขืนไม่ยอมหมอบให้ใช้มือขวาค่อย ๆ จับที่ใต้เท้า
ขวาของสุนัข ค่อย ๆ ลากไปข้างหน้าเพื่อให้สุนัขหมอบลงพร้อมกับออกคำสั่งซ้ำ ๆ
จนกว่าสุนัขจะปฏิบัติได้ตามต้องการ อย่าใช้วิธีการผลักสุนัขให้นอนลง ให้จัดท่าทาง
ขาหลังให้หมอบในท่าที่สวยงามไม่นอนขาไก่ย่าง
และเมื่อ สุนัขหมอบลงแล้วจึงสั่งให้ "คอย" อยู่กับที่โดยใช้มือซ้ายทำสัญญาณมือโดย
แบฝ่ามือเข้าหาหน้าสุนัข หากเห็นว่าสุนัขจะเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่ง ผู้ฝึกจะต้องแก้ไข
ทันทีโดยคำสั่ง "ไม่" แล้วจึงตามด้วยคำสั่งคอย การแก้ไขเมื่อสุนัขลุกออกจากตำแหน่ง
อย่าเคลื่อนเท้าของผู้ฝึกเองเพราะอาจทำให้สุนัขสับสน

การฝึกสุนัขให้คอย, การฝึกให้สุนัขยืน, การฝึกสุนัขให้มาหา



การฝึกสุนัขให้คอย
ถ้าจะให้สุนัขนั่งหรือหมอบอยู่ข้างเจ้าของนาน ๆ เวลาเจ้าของลุกไปทำธุระสุนัขอาจวิ่งตามอาจ ก่อให้เกิดความวุ่นวายและรำคาญที่สุนัขต้องตามตลอดเวลาดังนั้นการสั่งให้สุนัขคอยจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยวิธีการฝึกอาจทำได้ คือ เมื่อสุนัขนั่งหรือหมอบอยู่ ควรฝึกในท่านั่งหรือนั่งชิด เริ่มจากการสั่งให้สุนัขนั่งลงใช้มือซ้ายทำสัญญาณโดยหันฝ่ามือเข้าหาสุนัขพร้อมกับใช้คำสั่ง "คอยออกเสียงชัดเจนลากเสียงเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ หมุนตัวกลับหันหน้าเข้าหาสุนัข ถ้าสุนัขไม่คอยแต่ลุกขึ้นต้องใช้คำสั่ง "ไม่แล้วจับตัวกลับไปนั่งที่เดิมแล้วเริ่มฝึกให้คอยใหม่อีกครั้ง คราวนี้ผู้ฝึกจะเคลื่อนตัวออกห่างไปประมาณ ก้าวหากสุนัขไม่ขยับตัวให้รีบชมเชยทันที เมื่อการฝึกดีขึ้นจึงถอยหลังเคลื่อนไปจนสุดสายจูง ผู้ฝึกสามารถสังเกตอาการของสุนัขได้ตลอดเวลาว่าสุนัขมีท่าทีที่จะลุกออกจากตำแหน่งหรือไม่ ขณะที่ผู้ฝึกกำลังเคลื่อนตัวออกห่างสุนัขไปจนสุดสายจูงให้เปลี่ยนสายจูงจากมือขวามาไว้ในมือซ้าย เมื่อหันหน้าเข้าหาสุนัขแล้วใช้แขนขวาโดยหันฝ่ามือยืดตรงไปยังหน้าสุนัข ถ้าสุนัขทำท่าจะลุกให้แก้ไขทันทีโดยใช้คำสั่ง "ไม่แล้วจึงตามด้วยคำสั่ง "คอย"หลังจากที่การฝึกมีการพัฒนามากขึ้นผู้ฝึกก็ไม่จำเป็นต้องเดินถ้อยหลังไปจนสุดสายจูงแต่สมารถเดินหันหลังให้สุนัขแล้วค่อยหันหน้ากลับมาหาสุนัขได้ เมื่อสุนัขสามารถคอยในระยะปลายสุดของสายจูงได้แล้ว ต่อไปก็ให้สุนัขคอยในขณะที่เจ้าของเดินวนรอบสุนัข โดยเดินวนไปทางซ้ายของสุนัขอ้อมไปหลังสุนัขแล้วกลับมายืนข้างหลังของสุนัข และยืนที่ปลายสายจูงถือสายจูงด้วยมือซ้าย หันหน้าเข้าหาสุนัขสั่งให้ "คอยแล้วเดินวนรอบสุนัขโดยผ่านทางซ้ายของสุนัขแล้วกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ปลายสายจูงหันหน้าเข้าหาสุนัข ปฏิบัติซ้ำ ๆ จนกระทั่งสุนัขเข้าใจ สำหรับการฝึกสุนัขให้หมอบคอยก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการฝึกให้สุนัขนั่งคอย ต่างกันเพียงใช้คำสั่ง "หมอบแต่สำหรับการสั่งให้หมอบคอยจะไม่ใช้วิธีการเดินวนรอบตัวสุนัข แต่จะใช้วิธีการเดินข้ามตัวสุนัข โดยให้ผู้ฝึกยืนที่สุดสายจูงถือปลายสายจูงด้วยมือซ้าย หันหน้าเข้าหาสุนัขที่อยู่ในท่าหมอบ ต่อจากนั้นสั่งให้สุนัข "คอยให้ยกเท้าซ้ายข้ามสายจูง แล้วเดินข้ามตัวสุนัขไปจนสุดสายจูง แล้งจึงหันหลังกลับทางซ้าย ยกขาซ้ายคร่อมสายจูง แล้วเดินข้ามตัวสุนัขไปยังที่จุดเริ่มต้น หันหลังกลับทางซ้ายหันหน้าเข้าหาสุนัข การเดินข้ามตัวสุนัขนี้ต้องระวังอย่าแตะตัวสุนัขระหว่างการข้ามเพราะจะทำให้สุนัขลุกออกจากตำแหน่ง

 

การฝึกให้สุนัขยืน
สุนัขควรจะได้รับการฝึกให้ยืนให้ตรงจุดใดจุดหนึ่ง โดยไม่เคลื่อนที่ ถึงแม้ว่าจะมีคนแปลกหน้าเดินผ่านมาก็ตาม สุนัขจะไม่แสดงอาการดุร้าย หรือแสดงความกลัวออกมาให้เห็น การฝึกในท่ายืน ควรทำการฝึกในระหว่างที่สุนัขเดินในตำแหน่งชิดในสายฝึก ผู้ฝึกใช้มือซ้ายยื่นออกไปข้างหน้าโดยหันฝ่ามือเข้าหาหน้าของสุนัขพร้อมกับออกคำสั่ง "ยืน" และหยุด ส่วนมากเมื่อทำเช่นนี้สุนัขจะนั่ง เพราะเคยได้รับการฝึกให้นั่งมาก่อน แต่กรณีนี้ผู้ฝึกไม่ต้องการให้สุนัขนั่ง แต่ต้องการให้สุนัขยืน ให้รวบสายฝึกด้วยมือขวา กะประมาณให้พอที่จะหย่อนสายฝึกได้ แต่ต้องระวังอย่ากระตุกที่สายฝึกเพราะจะเป็นเหตุให้สุนัขนั่ง ให้หย่อนมือซ้ายลงข้างตัวสุนัข และให้สัมผัสกับส่วนหน้าของขาหลังขวาอย่างนุ่มนวล ถ้าทำเร็วพอก็สามารถทำให้สุนัขยืนได้โดยไม่ต้องยกตัวสุนัขขึ้นจากตำแหน่งนั่ง แต่ก็มีบ่อยครั้งที่สุนัขเบี่ยงตัวออก ในกรณีนี้ผู้ฝึกจะต้องปล่อยมือซ้ายข้ามหลังสุนัขไปสัมผัสกับส่วนหน้าของขาหลังซ้ายของสุนัข ให้ทำการฝึกเช่นนี้จนสุนัขเข้าใจ ซึ่งบางทีผู้ฝึกอาจต้องยกตัวสุนัขขึ้นหรือใช้สายฝึกลอดใต้ท้องสุนัขตรงใกล้กับขาหลัง ยกตัวสุนัขขึ้นเพื่อให้สุนัขยืน ซึ่งในไม่ช้าสุนัขก็จะเข้าใจความหมายของคำว่า "ยืน"
 
การฝึกสุนัขให้มาหา
การฝึกสุนัขให้มาหา ใช้สำหรับเรียกสุนัข ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดก็ตามเมื่อได้ยินคำสั่ง "มา" จะต้องมาหาผู้ฝึกโดยทันทีแล้วนั่งตรงหน้าของผู้ฝึก เมื่อผู้ฝึกสั่ง "ชิด" สุนัขจะลุกขึ้นแล้วเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนั่งชิด ก่อนอื่นสุนัขต้องได้รับการฝึกให้นั่งและหมอบคอยมาก่อน ผู้ฝึกสั่งให้สุนัขคอยเกือบสุดสายฝึก แต่ระวังอย่าดึงสายฝึกจะเป็นเหตุให้สุนัขลุกขึ้น เมื่อหันหน้าเข้าหาสุนัขแล้วให้สุนัขคอยอยู่สักครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสุนัขจะไม่ลุกจากตำแหน่ง ให้เดินถอยหลังไปช้า ๆ สองหรือสามก้าว แล้วสั่งให้สุนัข "มา" พร้อมกันนั้นให้ใช้มือซ้ายกระตุกสายฝึกเบา ๆ ในขณะเดียวกันก็ทำสัญญาณ "มา" ถ้าเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ให้ตบที่หน้าอกเพื่อกระตุ้นให้สุนัขมาหา ในขณะเดียวกันควรพูดให้กำลังใจให้สุนัขเข้ามาหา ถ้าสุนัขยังไม่เข้ามาหาก็อาจต้องเข้าไปอุ้มมายังที่ ๆ ผู้ฝึกยืนอยู่ หรือกระตุกสายฝึกเล็กน้อย ให้ปฏิบัติจนสุนัขเข้าใจคำว่ามา ทันทีที่สุนัขลุกขึ้นผู้ฝึกจะต้องยกย่องชมเชยเมื่อปฏิบัติได้ถูกต้อง ทำการฝึกซ้ำอีกจนกว่าจะไม่จำเป็นต้องดึงสายฝึกอีก และสุนัขจะมาในทันทีที่ผู้ฝึกพูดว่ามา เมื่อสุนัขเข้ามาถึงตัวผู้ฝึกแล้วจะสั่งให้สุนัข "นั่ง" พร้อมกับใช้มือขวาจับที่สายฝึกแล้วกระตุกขึ้นเล็กน้อยสุนัขก็จะนั่ง เพราะเคยได้รับการฝึกให้นั่งตามคำสั่งมาแล้ว ต่อมาจึงให้สุนัขเดินเข้ามาชิด โดยออกคำสั่ง "ชิด" พร้อมกับดึงสายฝึกจูงให้สุนัขเดินเข้ามาหาโดยการใช้มือซ้ายตบโคนขาซ้ายของผู้ฝึกแล้วสั่งให้สุนัข"นั่ง" เมื่อสุนัขปฏิบัติได้ถูกต้องให้ชมเชยสุนัข

จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!


Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!

ตามความเข้าใจของเรา เวลาใครทำผิดก็ต้องทำโทษ ตัดสินหรือ จัดการให้อีกฝ่ายหลาบจำ หลายคนจึงนำวิธีเหล่านี้มาใช้กับน้องหมา แล้วยิ่งถ้าเป็นน้องหมาพันธุ์ใหญ่ เรามักติดภาพกับน้องหมาบอร์ดี้การ์ด ยอดนักสู้ จึงมีความเข้าใจว่าการทำโทษพวกเขา ควรต้องทำโทษให้หนักกว่าน้องหมาพันธุ์เล็ก เพราะเกรงว่าถ้าทำเบาๆ เขาจะไม่รู้สึก ไม่จำความผิดของตัวเอง อีกอย่างตัวใหญ่ๆ ตีไปก็ไม่เจ็บไม่เป็นไรหรอก.... 
แน่นอนค่ะว่า.....น้องหมาพันธุ์ใหญ่บางตัวสามารถทนต่อความเจ็บปวดของร่าง กายได้ดี แต่ความเจ็บปวดทางจิตใจ จากความรู้สึกที่ถูกทำร้ายคงไม่มีน้องหมาตัวไหนอดทนได้ แม้จะตัวใหญ่ยักษ์ก็ตาม เพราะพวกเขาล้วนมีความเปราะบางทางอารมณ์ ความรู้สึก การความรักไม่ต่างจากเราค่ะ.....เอ๊ะ! แล้วถ้าอย่างนั้นความการทำโทษที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร วันนี้พริกจะมาบอกให้เพื่อนๆ ได้รู้กันเพื่อนำไปใช้กับน้องหมาตัวโตที่บ้านค่ะ



ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่

มีหลายคนที่ยังอาจมีความเข้าใจว่าเมื่อน้องหมาพันธุ์ใหญ่ทำผิด ต้องทำโทษให้หนักกว่าน้องหมาพันธุ์เล็กเพราะด้วยสรีระของพวกเขา อาจต้องใช้อำนาจและพลังในการข่มขู่ บีบบังคับให้พวกเขาเชื่อฟังซึ่งความเชื่อดังกล่าวนี้เอง ที่สร้างบาดแผลในจิตใจให้แก่น้องหมาพันธุ์ใหญ่หลายๆ ตัวค่ะ ดังนั้นการจะเริ่มวิธีการลงโทษที่ถูกต้อง เราควรลบความเชื่อดังต่อไปนี้ออกไปก่อนค่ะ 

Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!


ตัวใหญ่ ตีอย่างไรก็ไม่เจ็บ

เรามักมีความเชื่อกันว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ถ้าใครทำผิดต้องตีจะได้จดได้จำ ไม่ทำความผิดซ้ำๆ ใช่ไหมคะ ซึ่งนั่นเป็นจิตวิยาของคนไม่ใช่จิตวิทยาที่จะนำมาใช้กับน้องหมานะคะ เพราะ ในความจริงแล้ว ฝูงสุนัขจะไม่มีการลงโทษ แต่จะมีการให้สายตา การงับ การกัด เพื่อเป็นการเตือน ในขณะที่ทำผิด หรือขัดขวาง ปกป้อง ฝูงของตน ไม่มีการลงโทษด้วยอุปกรณ์ ไม่มีการลงโทษย้อนหลัง เพราะพวกเขาไม่สามารถจำได้ว่า ที่ถูกตีเพราะเมื่อวาน ไปกัดรองเท้าเจ้านายมา นั่นเองค่ะ
การลงโทษด้วยการตีน้องหมานอก จากจะทำให้น้องหมาเจ็บไม่จำแล้ว ยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเรากับเขาอีก ด้วยค่ะ ซึ่งความหวาดกลัวนี้เองจะยิ่งทำให้พฤติกรรมที่ไม่ดีของเขาแย่ลงไปอีก และทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นน้องหมาที่มีนิสัยก้าวร้าว ถึงขึ้นตอบโต้ หรือจู่โจมกลับในเวลาต่อมาค่ะ


Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!


ตัวใหญ่ ต้องตะคอกเสียงดังๆ จะได้กลัวเกรง

น้องหมาตัวใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทานทนกับคำพูด หรืออารมณ์ที่รุนแรงได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็มีความรู้สึก และสามารถรับรู้พลังงานได้ดีกว่าคนเราหลายเท่า การ ใช้เสียงดุดันตะคอกใส่นอกจากจะทำให้น้องหมาเกิดความกลัวแล้ว ยังก่อให้เกิดเป็นความเครียดที่สะสม รอวันระเบิดให้ออกมาในรูปพฤติกรรมก้าวร้าว เรียกร้องความสนใจให้เราตะคอกดังขึ้น หรืออาจข่มขู่กลับ จนถึงขึ้นทำร้ายร่างกายได้ ไม่ต่างการจากทำโทษด้วยการตีค่ะ

ในกรณีที่ไม่ได้ใช้การตี หรือ การตะอกใส่น้องหมาแต่ใช้ไม้ วัสดุต่างๆตีกับพื้นเพื่อทำให้เกิดเสียง น้องหมาจะได้น้องหมาตกใจกลัวก็เป็นอีกวิธีที่ไม่ควรทำนะคะเพราะถึงแม้เขาจะเกรงกลัวจนหยุดทำนิสัยที่ไม่ดี แต่นั่นหมายถึงว่า น้องหมายอมจำนน เคารพ ยำเกรงต่ออุปกรณ์ ไม่ใช่ตัวของเราค่ะ ส่วน น้องหมาที่ดื้อ ไม่กลัว อาจจะหาทางกัดไม้หรืออุปกรณ์ที่เราใช้ขู่ หรือยื้อแย่งขณะเราถือ เพราะเขาเข้าใจเรากำลังจะทำร้ายเขา อาจถูกกัเอาได้นะคะ คราวนี้ล่ะ เรื่องใหญ่เลย

Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!


ตัวใหญ่ แรงเยอะ ต้องล่าม หรือขังไว้ จะได้อยู่หมัด
แต่ละคนต่างก็มีการทำโทษน้องหมาในแบบฉบับของตัวเอง บางคนไม่อยากตี หรือตะคอกใส่ให้เขากลัว ก็จะเลือกใช้วิธีขังกรง และล่ามพวกเขาไม่ให้ไปไหน หนักเข้าก็อดอาหารเป็นการทำโทษ ซึ่งการทำโทษ ด้วยวิธีนี้นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้น้องหมารู้สาเหตุว่าตัวเองผิดอะไรแล้ว ยังทำให้พวกเขาเกิดความเครียด ความกังวล จนอาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมแปลกๆ เช่น กัดลูกกรง กระชากโซ่จนคอเป็นแผล กัดฟันตัวเอง รวมไปถึงพฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆ อีกค่ะ ......อย่างที่บอกไปตอนต้น พวกเขาไม่มีตรรกะ หรือนึกย้อนเหตุการณ์ไปได้ว่า....ตัวเองทำอะไรผิดไป....ต้องพยายามเข้าใจใน มุมมองของพวกเขานะคะ 
ถ้าอย่างนั้น...เราจะทำโทษพวกเขาด้วยวิธีใดถึงจะสามารถจัดการกับนิสัยเสียๆ ของเจ้าหมาตัวใหญ่พวกนี้ได้......ถ้าอยากกรู้แล้วมาดูกันต่อค่ะ.....ว่าแล้ว วิธีที่ถูกควรทำอย่างไร



วิธีการทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ที่ถูกต้องคือ....การสร้างวินัยที่ดี


Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!

วิธีการที่จะทำให้น้องหมาเชื่อฟังเรา มีทางเลือกอยู่ 2 วิธีค่ะ คือลงโทษเมื่อทำผิด หรือ ชื่นชมเมื่อเขาทำถูก....แน่นอนค่ะว่า ไม่มีใครรู้สึกดีเมื่อถูกทำโทษ เพราะถึงแม้จะทำให้สำนึกผิด แต่ก็เป็นยังปรากฏร่องรอยบาดแผลอยู่ในใจ ทำให้เกิดการป้องกันตัว หวาดกลัว น้องหมาก็เช่นกัน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดอะไร การตีหมายถึงอะไร นอกจากความเจ็บปวด ดังนั้นการส่งเสริม สนับสนุนในทางที่ดีต่างหาก ที่จะเป็นการดึงพฤติกรรมในแง่บวกของพวกเขาขึ้นมา ความเข้าใจ วินัย และความรัก คือบทสรุปของ “การลงโทษ” น้องหมาค่ะ ....ไปดูกันค่ะว่าอย่างไรท่าทางบทลงโทษนี้จะเข็ดน่าดู อิๆ ^^


1. เริ่มต้นที่เรา...เข้าใจมุมมองน้องหมา และมีความเป็นจ่าฝูง

Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!
เวลาเราเลี้ยงน้องหมามักลืมไปว่า น้องหมาเป็นหมาไม่ใช่คน จึงเผลอทำความเข้าใจน้องหมาในแบบฉบับของเรา ทำ ให้เกิดความเข้าผิดๆ เรื่องการทำโทษน้องหมาอย่างที่ได้บอกไว้ในตอนต้น ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติขอพวกเขา เราก็จะสามารถควบคุมพวกเขาได้อย่างถูกต้อง ถูกวิธี ไม่มีฝ่ายใดต้องเสียใจหรือบาดเจ็บค่ะ
อย่างที่หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า กุญแจสำคัญที่จะฝึกน้องหมาให้เชื่อฟังเรา ก็ตัวเรานั่นเอง... “จ่าฝูง” ที่ น้องหมาทุกตัวจะยอมศิโรราบโดยดี หากเราไม่สามารถมีความมั่นคงทางอารมณ์ จิตใจที่แน่วแน่ สุขุม ก็ยากที่จะควบคุมให้น้องหมาเชื่อฟังได้ค่ะ เพราะน้องหมาจะรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของเราจากพลังงาน ลองสังเกตง่ายๆ หากเราโกรธหรือโมโหอยู่ แม้ยืนนิ่งๆ ไม่พูดจา น้องหมาก็จะไม่เดินเข้ามาใกล้ หรือ แค่เราคิดว่าเดี๋ยวจะจับไปอาบน้ำ ไม่ทันจะเดินไปถึงน้องหมา พวกเขาก็รู้ตัวและหนีทันใช่ไหมคะ ดังนั้น ถ้าเรามีพลังงานที่มั่นคง เมื่อเราเห็นน้องหมาทำผิด เพียงจ้องตา บอกว่า “ไม่” ด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง หนักแน่น พวกเขาก็จะยอมทำตามไม่มีอิดอด สำนึกผิดได้ขึ้นมาทันที ในทางตรงกันข้ามหากเราไม่มีความเป็นจ่าฝูง อารมณ์ไม่มั่นคง อาจพลั้งเผลอใช้อารมณ์กับน้องหมาและนำไปสู่ความรุนแรงในการฝึก และการลงโทษน้องหมาได้นั่นเองค่ะ 



2. ฝึกวินัย สร้างเงื่อนไข และ ให้รางวัล
Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!

การทำโทษน้องหมาเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ถ้าหากเราไม่เคยบอก หรือฝึกน้องหมาให้รู้จักกฎระเบียบของบ้าน บอกให้รู้ว่าอะไรกัดได้กัดไม่ได้ หรือเราเองที่เก็บของไม่เป็นระเบียบ ไม่ฝึกให้พวกเขารู้ว่าเราคือเจ้าของบ้าน คือจ่าฝูง ก็ยากที่น้องหมาจะทำถูกต้อง และถูกใจเราค่ะ ดังนั้นการฝึกวินัย ฝึกคำสั่งพื้นฐาน และการฝึกให้รู้จักกฎระเบียบของบ้านจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมานั่นเอง 
Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!
ในส่วนของการสร้างเงื่อนไขให้น้องหมาทำตามกฎระเบียบกติกาก็เป็นอีกวิธีที่ ปลอดภัยกว่าการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น ถ้าไม่นั่งให้เรียบร้อยก่อนเปิดประตู จะไม่ได้ออกไปวิ่งเล่น หรือ ถ้าไม่ปล่อยของออกจากปาก ก็จะไม่ได้ขนมในมือ เป็นต้นค่ะ การตะโกนร้อง สั่งห้าม หรือใช้กำลังตบปากน้องหมาจนกว่าเขาจะปล่อย น้องจากเขาจะยิ่งกัดแน่นเพื่อเอาชนะแล้ว ยังอาจจะกัดมือเราอีกด้วยค่ะ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังให้มากที่สุด


สุดท้ายเมื่อน้องหมายอมทำตามคำสั่งก็คือ การให้รางวัลนั่นเอง น้องหมาไม่ว่าจะตัวใหญ่ขนาดไหน ก็ตาลุกวาวเสมอเมื่อมีแรงจูงใจเป็นขนมสุดพิเศษ ที่มีให้กินไม่บ่อยนัก เพื่อนๆ ควรมีขนมโอกาสพิเศษติดไว้กับบ้าน เพื่อเป็นรางวัลเมื่อน้องหมาทำตามคำสั่ง เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว พวก เขายอมทำตามทุกอย่างขอเพียงให้ได้รางวัลไม่ว่าจะเป็นเป็นของเล่น ขนม คำชม มอบความรักด้วยการตบไหล่ หรือลูบด้านข้างอย่างหนักแน่น อีกทั้งการให้รางวัลยังเป็นการเน้นน้ำให้เขารู้สึกมั่นใจกับสิ่งที่ทำว่า ใช่แล้ว! ถูกต้องแล้ว! นั่นเองค่ะ


3. หากจำเป็นต้องลงโทษต้องทันที ฉับพลัน แต่ไม่รุนแรง

Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!

การทำโทษน้องหมาให้ได้ผล ไม่ใช่การทำโทษหลังจากที่น้องหมาทำผิด แต่เป็นการทำให้น้องหมาตกใจในฉับพลัน ณ ขณะที่พวกเขากำลังทำผิดค่ะ เช่น เมื่อเห็นน้องหมากำลังคาบรองเท้าหนังคู่ใหม่ให้จับหนังคือน้องหมาด้วย น้ำหนักที่มั่นคง เพื่อให้น้องหมารู้ตัว และตกใจ ไม่ใช่เพื่อให้น้องหมาเจ็บนะคะ จากนั้นจึงบอกว่า “ปล่อย” ด้วย น้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคงเช่นกันค่ะ นองจากการดึงหนังที่คอน้องหมาแล้วยังสามารถใช้วิธีการก้นเบาๆ ทีเดียวให้น้องหมาสะดุ้งรู้ตัว ถ้าน้องหมาตัว ใหญ่มากๆ ตีก้นก็ยังนิ่ง ให้ใช้มือทั้งสองข้างจับที่ต้นคอ แล้วดึงน้องหมาขึ้นมาห่างจากพื้นเพียงเล็กน้อย และเขย่าตัวของน้องหมา พร้อมกับออกคำสั่งค่ะ

Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!
ในกรณีที่น้องหมาดื้อมากๆ ไม่ทำตามคำสั่ง เกเรสุดๆ ให้ใช้วิธีการ “ฉก” ซึ่ง เป็นวิธีการเลียนแบบการกัดเตือนของสุนัขที่ทำหน้าที่เป็นจ่าฝูงค่ะ ซึ่งการฉกนั้นจะฉกบริเวณสีข้างด้วยน้ำหนักที่มั่นคง ไม่รุนแรง เพื่อเรียกสติน้องหมาให้โฟกัสที่ตัวเราค่ะ ไม่ได้ทำให้เจ็บนะคะ หรือถ้าน้องหมาอยู่ในสายจูงก็สามารถใช้วิธีกระตุกสายจูงก็ได้ค่ะ โดยกระตุกไปทางด้านบนแรงๆ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเรียกสติ ให้น้องหมาหยุดทำพฤติกรรมทีไม่พึงประสงค์ค่ะ อย่างไรก็ตาม ทุกการกระทำของเรา ต้องทำในช่วงขณะเวลาที่น้องหมากระทำความผิดอยู่อย่างทันทีทันใด ไม่ใช่ทำย้อนหลัง หลังจากที่น้องหมาทำผิดไปแล้วนะคะ
(เพื่อนๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมเรื่องการฉกได้ที่บทความ 

Dogilike.com :: จะทำโทษน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ทำอย่างไรถึงจะถูกวิธี?!

วิธีการฝึกน้องหมาพันธุ์ใหญ่นี้ สามารถใช้ได้กับน้องหมาขนาดเล็ก และขนาดกลางนะคะ อย่างที่บอกไปค่ะว่า ขนาดตัวของน้องหมาไม่สำคัญ เท่าความละเอียดอ่อนของจิตใจและความรู้สึก การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของน้องหมา ให้พวกเขาเห็นว่าสิ่งที่ดีที่ควรทำคืออะไร เพื่อเน้นย้ำให้พวกเขารู้ จำ และปฏิบัติ พร้อมกับให้รางวัล จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่น้องหมาค่ะ และ ที่สำคัญเราผู้เลี้ยงก็ควรปฎิบัติต่อสุนัขเสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบ ครัว ที่ควรที่รัก และทะนุถนอม ไม่บ่มเพาะความกลัวให้ฝังรากลึกลงไปนะคะ....วินัย รัก และความเชื่อใจเท่านั้นที่ทำให้น้องหมาอยู่กับเราอย่างมีความสุขค่ะ